
ความร้อนแรงของกระแสยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV มีเข้ามาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยเองก็สนับสนุนในเรื่องนี้อยู่ด้วย ที่จะผลักดันให้ประเทศไทยขึ้นสู่การใช้งาน EV อย่างเต็มรูปแบบ วันนี้ทีมข่าว Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาดูกันว่าทั้ง EA และ NEX จะได้รับผลบวกมากน้อยแค่ไหน
สะท้อนจากมุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ที่ออกมาประเมินหุ้นทั้ง 2 ดังกล่าวไว้น่าจะน่าสน โดยมีใจความว่า กลุ่ม EV ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตในปี 65-66 และมีแนวโน้มที่ไทย จะบรรลุเป้าหมาย Zero-Emission ในปี 78 โดยคาดปริมาณรถ EV จะเติบโต 4 เท่าตัว และ 3 เท่าตัวในปี 65 เทียบกับปี 63นอกจากนี้คาดเห็นการสนับสนุนจากภาครัฐชัดเจนขึ้นในปี 65 ทั้งการลดภาษีนำเข้า รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนของ BOI ทั้ง Supply Chain
โดยมอง EA และ NEX เป็น Winner ของกลุ่ม จึงปรับกำไร EA ปี 64-66 ขึ้น 4-9% และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 122 บาท ซึ่งคาดปี 64 จะมีกำไรสุทธิ 8,511 ล้านบาท เติบโตจากปี 63 ที่รายงานกำไรสุทธิ 5,205 ล้านบาท ขณะที่ปี 65 คาดเพิ่มมาอยู่ที่ 10,204 ล้านบาท และปี 66 คาดเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 12,128 ล้านบาท
ส่วน NEX ปรับเพิ่มกำไร ปี 65-66 ขึ้น 33% และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 25 บาท โดยคาดปี 64 จะมีกำไรสุทธิ 439 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีผลขาดทุน 214 ล้านบาท ขณะที่ปี 65 คาดเพิ่มมาอยู่ที่ 1,952 ล้านบาท และปี 66 คาดปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2,800 ล้านบาท
จากทิศทางการเติบโตที่โดดเด่น และราคาเป้าหมายของทั้ง 2 บริษัทที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ทีมข่าวต้องโทรไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) โดยบอกกับ Wealthy Thai ว่า ความน่าสนใจของทั้ง 2 หลักทรัพย์นั้น คือเป็น 2 บริษัทที่จับมือร่วมกัน โดยบริษัทหนึ่งทำโรงงานแบตเตอรี่ และอีกบริษัทขายรถ ซึ่งมุ่งเน้นในตลาดที่ไม่มีคู่แข่ง อย่างรถบัสไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้า
ดังนั้นตลาดที่ทั้ง 2 บริษัทที่เข้าไปดำเนินธุรกิจนั้น มีราคาที่ดี เป็นกลุ่มที่ผู้ซื้อไม่ได้ใช้ ผู้ใช้ไม่ได้ซื้อ โดยสิ่งที่เขาสนใจคือไม่ใช่แบรนด์ แต่เป็นประสิทธิภาพของรถ และราคาถูก รวมทั้งค่าซ่อมจะแพงหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์ ทั้ง 2 บริษัทจึงสามารถขายให้กลุ่มลูกค้าที่นำไปทำรถเมล์ บขส.ได้ และรถบรรทุกต่อไป โดยตลาดเชิงพาณิชย์ดังกล่าว เป็นตลาดที่ทั้ง 2 บริษัทนั้น ไม่มีคู่แข่ง ซึ่งประเทศไทยไม่มีโรงงานผลิตรถในกลุ่มดังกล่าว
นอกจากนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ รัฐบาลจะนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีในสิ้นเดือนนี้ คือ การให้เงินสนับสนุนคล้ายรถคันแรก รวมถึงลดภาษีนำเข้า พูดง่ายๆคือ ราคารถจาก 1 ล้านบาท อาจจะเหลือราว 7-8 แสนบาทประกอบกับล่าสุดประเทศไทยมีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าราว 600 กล่าวแห่ง ซึ่งถือว่าไม่เยอะมากเทียบกับปั๊มน้ำมันที่ระดับ 8-9 พันแห่งทั่วประเทศ
เพราะฉะนั้นลองคิดดูว่า หากมีคนซื้อรถเพิ่มขึ้น ก็จะมีคนสร้างสถานีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จาก 600 กว่าแห่ง ก็จะกลายเป็น 2-3 พันกว่าแห่งในอนาคต ดังนั้นถ้าหากน้ำมัน 8 พันแห่งดังกล่าวที่ถือว่าอยู่ทั่วประเทศแล้ว เชื่อว่าที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอีก 3-4 ปีก็มีโอกาสเป็นแบบดังกล่าวเช่นกัน
“ถามว่าทั้ง EA และ NEX ดียังไง เพราะ 1.เข้ามาจับตลาดก่อน 2.กำลังจะเติบโตในระดับสูง เพราะรัฐบาลส่งเสริมเต็มที่ 3.ยังไม่มีคู่แข่ง และ4. เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศไทย หรือโลกใหม่ของไทย”นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าว
ล่าสุด NEX ได้ประกาศข่าวดี โดย “มนต์ทรานสปอร์ต” จับมือ NEX พร้อมพันธมิตร ประกาศเป็นผู้นำสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า ดีเดย์นำรถหัวลากพลังงานไฟฟ้ามาใช้ขนส่งสินค้าให้กับภาคอุตสาหกรรม แทนรถบรรทุกเดิมที่เผชิญราคาน้ำมันแพงหวังเซฟต้นทุน
ทั้งนี้นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX กล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าอุปโภค บริโภค ร่วมไปถึงสินค้าเกษตร ก่อสร้าง และรถบัสท่องเที่ยว เป็นเหตุให้ทางสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยและสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย รวมตัวเรียกร้องให้รัฐบาลหาทางช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
แต่ท้ายที่สุดแล้วข้อเสนอต่างๆไม่ได้รับการตอบสนองจากทางภาครัฐ ส่งผลให้ภาคเอกชนต้องพยายามหาทางเอาตัวรอดกับวิกฤตน้ำมันที่เกิดขึ้น ทางบริษัทมนต์ทรานสปอร์ต ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการขนส่งสินค้าให้กับภาคอุตสาหกรรม จึงขอเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการนำรถหัวลากไฟฟ้าไปใช้ในการขนส่งสินค้าแทนรถบรรทุกเดิมที่ใช้งานอยู่
“วันนี้ถือเป็นวันดีเดย์ที่นำมาสู่การจับมือร่วมกันระหว่าง NEX มนต์ทรานสปอร์ต อมิตา อีเอ เอนี่แวร์ และสยามมิชลิน เพื่อผลักดันให้มีการนำรถหัวลากพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในการขนส่งของภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะมีทดสอบรถด้วยการนำไปใช้งานจริง ก่อนที่จะนำไปสู่การสั่งล็อตซื้อใหญ่ ซึ่งในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันยังคงปรับสูงขึ้น การนำรถหัวลากไฟฟ้าไปใช้ในการขนส่งสินค้าจะช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมัน รวมทั้งเซฟค่าใช้จ่ายในเรื่องของการดูแลรักษา และนอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาวิกฤตราคาน้ำมันแล้ว ยังจะเป็นการตอบโจทย์ในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะรถหัวลากไฟฟ้าเป็นรถพลังงานสะอาดที่ไม่สร้างมลพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ซีอีโอ NEX กล่าว
EA เดินเครื่องโรงงานแบตเตอรี่แห่งแรก
ขณะที่ EA ประกาศความสำเร็จระดับภูมิภาค สร้าง New S-Curve ครั้งใหญ่ หลังเริ่มเดินเครื่อง ‘อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย)’ โรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจรที่ทันสมัยและมีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์เต็มตัว
โดยเป็นโรงงานแบตเตอรี่แห่งแรกที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเตรียมแผนขยายกำลังการผลิตสู่ 50 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปีตามแผนในอนาคต หนุน EA สู่ผู้นำด้านนวัตกรรมแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดของไทยและอาเซียน ที่สามารถผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและระบบสำรองไฟฟ้าได้เองครบทุกกระบวนการ ดันประเทศไทยขึ้นแท่นพร้อมเป็นแหล่งผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในระดับภูมิภาค
โรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและระบบสำรองไฟฟ้าแห่งนี้ของกลุ่มพลังพลังงานบริสุทธิ์ (EA) ภายใต้ชื่อ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด มีกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งระยะแรกนี้มีความพร้อมที่จะขยายกำลังการผลิตได้สูงสุดถึง 4 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปีในทันที มีพื้นที่การผลิตภายในโรงงานรวมกว่า 80,000 ตารางเมตร
เป็นโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ชนิด Pouch Cell และระบบสำรองไฟฟ้าแบบครบวงจรที่ใช้ระบบอัจฉริยะ และระบบการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยเพื่อให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพสูงสุดและต้นทุนไม่สูง ฐานการผลิตที่สำคัญนี้อยู่ในเขต EEC มีขนาดพื้นที่กว่า 90 ไร่ ที่พร้อมรองรับการขยายการลงทุนของโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานได้กว่า 10 เท่า สู่กำลังการผลิตสูงสุดของภูมิภาคอาเซียนที่ 50 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ตลอดจนอยู่ในพื้นที่ที่มีความพร้อมรองรับการลงทุนของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องเพื่อสร้างระบบนิเวศน์ของ New S Curve ได้อย่างสมบูรณ์ในที่สุด
นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า “โรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงาน จะเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) และการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีเสถียรภาพเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยได้ออกแบบให้โรงงานแห่งนี้ใช้ระบบที่ทันสมัย เพื่อให้สามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งยังสามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการผลิตต่างๆได้ง่ายเพื่อตอบโจทย์เทคโนโลยีต่างๆในอนาคต อีกทั้งโรงงานยังเน้นแนวคิดที่ใช้พลังงานในการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ลดของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต โดยมุ่งเน้นการรีไซเคิลในกระบวนการผลิตให้มากที่สุด
แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ผลิตได้สามารถนำไปใช้กับยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า และเรือโดยสารไฟฟ้า เพื่อช่วยในการลดการปล่อยมลภาวะสู่สิ่งแวดล้อมที่เกิดจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ที่ผลิตได้ในระยะเริ่มต้น ขนาด 1 กิกะวัตต์ หรือ 1,000,000 กิโลวัตต์ สามารถนำมาใช้ในรถโดยสารไฟฟ้า ขนาด 11 เมตร ซึ่งขับเคลื่อนได้ระยะทางสูงสุด 240 กิโลเมตร ได้ถึง 4,160 คันต่อปี และการใช้รถโดยสารไฟฟ้า จำนวน 4,160 คัน สามารถช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission Reduction) ประมาณ 91,709 ตันต่อปี และลดปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลได้กว่า 97,066,667 ลิตรต่อปี เมื่อเทียบกับรถโดยสารที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันดีเซล
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คำแนะนำ “ซื้อ” EA ได้ราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 90.00 บาท โดยพิสูจน์แล้วว่าทำได้ รายได้ EV Bus กำลังเริ่มทยอยมาต่อเนื่อง ส่วนการประชุม COP26 ชี้ชัดว่าโลกให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดอย่างเข้มข้น เช่นเดียวกับประเทศไทยซึ่งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าฯ (EV board) ก็ได้กำหนดเป้า 30@30 ให้มียานยนต์ที่ปลอดมลพิษ 30% ภายในปี 2030 โดยเป้ารถบรรทุก/รถบัสไฟฟ้า 4.3 แสนคัน ภายในปี 2035
สอดคล้องกับแผนธุรกิจของ EA ที่หันมามุ่งเน้นรถกลุ่มนี้แทนรถบ้าน เนื่องจาก EA มีเทคโนโลยี Ultra Fast Charge (ชาร์จเร็ว 15 นาที ได้พลังงาน 80% อายุชาร์จ 3,000 ครั้ง) ที่ตอบโจทย์รถเพื่อการพาณิชย์มากกว่ารถบ้านที่ไม่ได้เร่งรีบในการชาร์จ ยิ่งไปกว่านั้น EV Bus ยังประหยัดต้นทุนบำรุงรักษา, พลังงานกว่า 50% ส่วน EV board เองก็เตรียมแผนส่งเสริมผู้ผลิตแบตเตอรี่ในประเทศหลายๆวิธีคาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้
