ครม.แจกของขวัญปีใหม่ ไฟเขียว “ช้อปดีมีคืน-คนละครึ่งเฟส 4”

Update ข่าว : วันอังคารที่ 21 ธ.ค 64

ครม.อนุมัติแจกของขวัญปีใหม่ จัดแพคเกจชุดใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ ประเดิม “ช้อปดีมีคืน” วงเงินไม่เกิน 3 หมื่นบาท เริ่มใช้ 1 ม.ค.-15 ก.พ.65 ยื่นลดหย่อนภาษีปี 66 ส่วน”คนละครึ่งเฟส 4” เริ่มใช้ มี.ค.-เม.ย.65 คาดช่วยดันจีดีพีปีหน้าเพิ่มขึ้น 0.12% ด้าน “รมว.คลัง” คาดศก.ไทยปี 65 โต 4% รับโควิดคลี่คลาย – ส่งออกสดใส เผย 6 แผนบริหารเศรษฐกิจทั้งกระตุ้นใช้จ่ายครัวเรือนและท่องเที่ยว – เร่งลงทุนภาครัฐ 1.18 ล้านล้านบาท

ครม. อนุมัติมาตรการ “ช้อปดีมีคืน-คนละครึ่งเฟส 4”

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติมาตรการช้อปดีมีคืนปี 65 เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และ สนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีและผู้ประกอบกิจการการผลิตสินค้าท้องถิ่น (OTOP) โดยสามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ

สำหรับการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักร ในปีภาษี 65 (ที่ต้องยื่นแบบภาษีในปี 66) ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท/คน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.65

สำหรับหลักเกณฑ์ สามารถซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงค่าสินค้า OTOP ได้ ยกเว้น ค่าสุรา เบียร์ ไวน์ ค่ายาสูบ ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ ค่ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ

นอกจากนี้ ยังไม่รวมถึงค่าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร และค่าบริการหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ค่าบริการจัดนำเที่ยวที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และมัคคุเทศก์ ค่าที่พักในโรงแรมที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขณะเดียวกัน ไม่รวมถึงค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต และค่าบริการสำหรับบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการระยะยาว ซึ่งเริ่มต้นก่อนวันที่ 1 ม.ค.65 หรือสิ้นสุดหลังวันที่ 15 ก.พ.65 แม้ว่าจะจ่ายค่าบริการระหว่างวันที่ 1 ม.ค.65-15 ก.พ.65 และ ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย

ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้รัฐสูญรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 6,200 ล้านบาท แต่คาดว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมูลค่าประมาณ 42,000 ล้านบาท อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 0.12% และ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั่วไปเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี ยังเห็นชอบโครงการคนละครึ่งเฟส 4 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มโครงการในเดือน มี.ค.-เม.ย.65 เป็นเวลา 2 เดือน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และ การเติบโตทางเศรษฐกิจ

ขยายมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินต่ออีก 6 เดือน

 นายธนกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมครม. มีมติปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น ต่ออีก 6 เดือน เริ่ม 1 ม.ค.-30 มิ.ย.65 จากเดิมสิ้นสุด
31 ธ.ค. 64 ทั้งนี้ วัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ รวมถึงสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจสายการบินให้สามารถฟื้นฟู และ กลับมาดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติให้เร็วที่สุด
สำหรับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานในประเทศ โดยกำหนดอัตราภาษีตามปริมาณ 0.20 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่อง ที่จะสิ้นสุดบังคับใช้ 31 ธ.ค. 64 นี้

โดยมาตรการดังกล่าวคาดว่า จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ 860 ล้านบาท เนื่องจากมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 6 เดือน โดยคาดว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ อุตสาหกรรมสายการบินในประเทศจะมีการฟื้นตัว เนื่องจากสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจส่งผลให้ยังคงมีการจ้างงาน และ ไม่ต้องปิดตัวหรือระงับเส้นทางการเงิน

ลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง บ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เหลือ 0.01%

นายธนกร กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิ และ นิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย ในราคาซื้อขาย และ ราคาประเมินไม่เกิน 3 ล้านบาท ถึง 31 ธ.ค.65 โดยครม. เห็นชอบ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย รวม 2 ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ จากเดิม 2% และ ค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ดังนี้ อาคารที่อยู่อาศัย ประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และ บ้านแถว หรือ อาคารพาณิชย์ หรือ ที่ดินพร้อมอาคาร หรือ ห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยราคาซื้อขาย และราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และ วงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท

ทั้งนี้ โครงการเพื่อสนับสนุน และ บรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่ไม่สูงมาก และ เหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยจากมาตรการดังกล่าว คาดว่าจะทำให้อปท. สูญรายได้ 4,946 ล้านบาท

รมว.คลัง คาดจีดีพีปี 65 โต 4%

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 65 ว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้นและจำนวนผู้ได้รับวัคซีนที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในส่วนของการใช้จ่ายภายในประเทศและการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐยังคงมีบทบาทสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 65 ให้ขยายตัวได้ที่ 4%

สำหรับทิศทางการบริหารเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ปี 65 จะให้ความสำคัญกับ

1. การรักษาแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการท่องเที่ยวภายในประเทศผ่านมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ของภาครัฐ โดยจะมีการประเมินและปรับปรุงรูปแบบมาตรการที่เหมาะสม ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป

2. การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ โดยการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐ ทั้งในด้านการลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษและโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งให้เป็นไปตามแผนงาน ซึ่งภาครัฐจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในปี 65 จำนวนกว่า 1.18 ล้านล้านบาท

 3. การส่งเสริม SMEs และ Startup ทั้งในส่วนของการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยอาศัยกลไกของตลาดเงิน ตลาดทุน และการเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ

4. การขับเคลื่อนเศรษฐกิจตาม BCG Model (Bio-Circular-Green Economic Model) ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล เพื่อให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยกระทรวงการคลังจะสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมพลังงานสะอาด เช่น มาตรการส่งเสริมให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) การออก Sustainability Bond เพื่อนำเม็ดเงินที่ระดมทุนได้ไปใช้สำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือโครงการเพื่อการพัฒนาสังคม เป็นต้น

 5. การสนับสนุนการส่งออกและนำเข้าสินค้า โดยมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกและเพิ่มความรวดเร็วในการส่งออกและนำเข้าสินค้า เพื่อเป็นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจของผู้ส่งออกและนำเข้า

 6. การส่งเสริม Digital Government ในการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยกระทรวงการคลังได้พัฒนาต่อยอดระบบงานต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งขยายขอบเขตการใช้ Digital ทั้งในด้านการบริหารจัดการของภาครัฐ เช่น ระบบการจัดซื้อจัดจ้าง การจัดเก็บภาษี รวมทั้งการให้บริการด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว โปร่งใส และประหยัดเงินงบประมาณ เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่า การดำเนินการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจการคลังไทยฟื้นตัวอย่างมั่นคงและยั่งยืน