หุ้นบริหารสินทรัพย์กำลังมีข่าวดี มีหนี้เสียก้อนใหญ่กว่า 1.86 แสนลบ.

หุ้นกลุ่มบริหารสินทรัพย์ มีประเด็นให้ร่าติดตามกันอีกครั้ง หลังจากธปท.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย จะอนุญาตให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ให้บริการจัดเก็บหนี้แก่หน่วยงานภาครัฐที่ถูกคัดเลือกโดยกระทรวงการคลังได้ โดยจะส่งผลอย่างไรต่อหุ้นกลุ่มนี้ Wealthy Thai หาคำตอบมาให้แล้ว

สะท้อนจากมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ประเด็น ​ธปท. เปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์ โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน จนถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2564

ทั้งนี้เนื้อหาการแก้ไขกฏหมายครั้งนี้จะอนุญาตให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ให้บริการจัดเก็บหนี้แก่หน่วยงานภาครัฐที่ถูกคัดเลือกโดยกระทรวงการคลัง ซึ่ง ธปท. ยังร่างข้อจำกัดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกำหนดการจดทะเบียนและการกำกับดูแลใบอนุญาต AMC เพื่อให้เทียบเคียงกับกฎเกณฑ์ที่ใช้กับใบอนุญาตสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของ AMC

ขณะที่ประเด็นดังกล่าวมองว่า มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย โดยการแก้ไขกฎหมายและเรื่องใบอนุญาตเกี่ยวกับการบริหารสินทรัพย์จะทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวกมากกว่าเชิงลบต่อ AMC ซึ่งคาดว่าร่างแก้กฎหมายใหม่จะอนุญาตให้ AMC ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขยายธุรกิจจัดเก็บหนี้ไปยังลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs)

โดยปัจจุบันมีหนี้เสีย (NPL) ก้อนใหญ่ในมือจำนวน 1.86 แสนล้านบาท (34% ของ NPL ของธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด) และมูลค่าหนี้ที่ค้างชำระ 1-3 เดือน จำนวน 2.036 แสนล้านบาท ณ เดือน ธ.ค. 2563 ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างของ SFIs อยู่ที่ประมาณ 5.8 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยสินเชื่อรายย่อย 2.66 ล้านล้านบาท (5.69 แสนล้านบาท เป็นสินเชื่อที่ไม่มี่ หลักประกัน)

นอกจากนี้ร่างกฏหมายใหม่จะมีการบังคับใช้กฎระเบียบ หรือการดำเนินธุรกิจมากขึ้นรวมถึงอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและความซับซ้อนในการดำเนินธุรกจิของ AMC ที่สูงขึ้น และยังจะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าร่วมธุรกิจของผู้เล่นรายใหม่อีกด้วย

ดังนั้นจากการเปิดรับฟังความคิดเห็น เชื่อว่า JMT และ CHAYO จะเป็นผู้รับผลประโยชน์หลักจากการแก้กฏหมายครั้งนี้ เนื่องจากมีธุรกิจบริการทวงหนี้อยู่แล้วคิดเป็น 9% และ 6% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาส 3/2564 โดยจะส่งเสริมโอกาสให้ทั้งคู่เพิ่มรายได้จากธุรกิจจัดเก็บหนี้โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

อย่างไรก็ตามคาดว่าร่างกฏหมายใหม่นี้จะช่วยให้ BAM มีโอกาสขยายเข้ามาในธุรกิจนี้ เนื่องจากมีความ เชี่ยวชาญในการจัดเก็บหนี้ของสินเชื่อที่มีหลักประกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อรายย่อยทั้งหมดภายใต้ SFIs

ประเด็นดังกล่าววจะเป็นปัจจัยหนุนเชิงบวกต่อกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ โดยยังคงมุมมองกลางต่อกลุ่มธุรกิจนี้ และให้ BAM เป็นหุ้นเด่นของฝ่ายวิจัย เนื่องจากการฟื้นตัวของกำไรในปี 2565 และการประเมินมูลค่าราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ให้ราคาเป้าหมาย 24.00 บาท ขณะที่ JMT ราคาเป้าหมาย 55.00 บาท ส่วน CHAYO ราคาเป้าหมาย 14.80 บาท

สำรวจพื้นฐานรายตัว

เริ่มจาก BAM โดยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า แนวโน้มการจัดเก็บเงินสดงวดไตรมาส 4/64 จะเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากช่วงฤดูกาลขายทรัพย์ นอกจากนี้สถานการณ์การระบาดของโควิดทยอยดีขึ้น ทำให้ BAM มีแผนจะจัดมหกรรมส่งเสริมการขายทรัพย์ในงวดไตรมาส 4/64 ด้วยเช่นกัน หนุนแนวโน้มกำไรสุทธิฟื้นตัวในงวดไตรมาส 4/64

ดังนั้นคาดกำไรสุทธิปี 2564 จะฟื้นตัว 44%จากปีก่อน มาที่ระดับ 2,657 ล้านบาท และปี 65 จะเติบโตอีก 19% จากแนวโน้ม การจัดเก็บเงินสดเพิ่มขึ้น จากกลยุทธ์การเน้นขาย NPAs และ NPLs ในทุกช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ จึงยังแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 24.00 บาท.

ส่วน JMT โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทมีแนวโน้มใช้งบลงทุนหนี้เสียเพิ่มขึ้น จากงวด 9 เดือนปีนี้ซื้อแล้ว 7.2 พันล้านบาท สูงกว่าเป้าทั้งปีเดิมของบริษัทแล้ว ฝ่ายวิจัยจึงปรับสมมติฐานการซื้อหนี้ปี 64-65 ขึ้นปีละ 2.0 พันล้านบาท มาที่ 9 พันล้านบาท และ 1.3 หมื่นล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้มีการปรับประมาณการกำไรปี 65-66 ขึ้นเฉลี่ยปีละ 7% มาที่ 2.2 พันล้านบาท เติบโต 55% และ 2.9 พันล้านบาท เติบโต 30%เทียบกับปีก่อนหน้า

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/64 คาดเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า คาดทำจุดสูงสุดต่อเนื่อง ด้วยแนวโน้ม Cash Collection ที่สูงขึ้น จากการผ่อนคลาย Lockdown ดังนั้นจึงคาดว่าปีนี้จะรายงานกำไรสุทธิ 1,446.7 ล้านบาท เติบโต 38%จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,047.0 ล้านบาท คงคำแนะนำ “Trading Buy” ปรับมูลพื้นฐานปี 65 ขึ้นเป็น 63 บาท เดิม 56 บาท สะท้อนภาพการเติบโตรับเงินทุน โอกาสร่วม JV กับธนาคาร เป็น upside risk

สุดท้าย CHAYO โดยบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า คาดผลดำเนินงานในไตรมาส 4/64 จะโตต่อทั้งจากไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากกำไรจากการดำเนินงานหลักที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ที่ได้รับจำนวนงานจากสถาบันการเงินและผู้ประกอบการ Telecom มากขึ้น รวมถึงธุรกิจบริหารหนี้เสียที่คาดจะมียอดจัดเก็บเงินสดเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/64 ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น

นอกจากนี้ยังเป็นไตรมาสแรกที่เริ่มรับรู้รายได้และกำไรจาก CHAYO JV (JV ร่วมกับบริษัทในเครือของ COM7, JWD และ PREB) ซึ่งมีแผนประมูลซื้อหนี้กว่า 1 พันล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี และจะเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องในปี 2565 ตามปริมาณหนี้เสียของสถาบันการเงินที่จะเริ่มออกสู่ตลาดประมูลหนี้เสียเพิ่มขึ้น ตามลำดับ

โดย CHAYO JV จะเน้นหนี้เสียที่หลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่มี การประมูลซื้อเข้ามาในพอร์ต ดังนั้นจึงคาด CHAYO จะมีกำไรสุทธิในปี 2564 จำนวน 250 ล้านบาท เติบโต 61.5% จากปีก่อน และโตต่อ 16.3%ในปี 2565 จึงคงแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานปี 2565 ที่ 16.70 บาท