
1. รูปแรกเอาสถิติในทำ QE(easing, tapering) และ QT(Tightening, tapering) จะพบว่าช่วง QE ไล่ตั้งแต่ QE1 2 3 มาจนถึง QE4 ในปัจจุบันตลาดหุ้นอเมริกาปิดบวกทั้งหมด และถ้าดูต่อมาเมื่อหยุดทำ QE แล้ว(สีดำ) ตลาดหุ้นก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ดี(ยกเว้นช่วงปี 2008 ที่เกิดวิกฤต) รวมถึง QE tapering สีเหลืองหุ้นก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกเช่นกัน(+9%)

2. ถ้าไปดูช่วงที่ทำ QT Tightening หรือการดูดเงินออกในช่วงปี 2018 ในรูปจะเห็นว่าผลตอบแทนเป็น +13% แต่จริงๆ เราต้องดู detail ข้างในด้วย คือในช่วงปลายปี 2017 FED เห็นเศรษฐกิจเริ่มร้อนแรงจึงเริ่มประกาศ QT เริ่มดูดเงินออกทีล่ะนิด ตลาดก็ยังไม่ได้สนใจมากก็ยังวิ่งขึ้นต่อถึงปลายปี Q3 2018 ซึ่ง FED ก็ออกมาบอกอีกว่า (Hawkish มาก) จะดูดเงินไม่อั้น และไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดการดึงเงินออก ตลาดตกใจและมีการปรับฐานหนักมาก จนต้นปี มกรา 20109 เริ่มมีข่าวว่า FED เห็นท่าไม่ดี เลยเปลี่ยนใจไม่ดึงเงินออกเยอะๆแล้ว ตลาดจึงดีดกลับเร็วมาก และ FED ก็ประกาศอย่างนั้นจริงๆในช่วงเดือน มกรา ตลาดจึงสงบแล้ววิ่งขึ้นต่อทั้งปี 2019 ดังนั้นช่วง Tightening ในปี 2018 จึงตลาดน่าจะมองเป็นผลตอบแทนเป็นลบมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ลบเยอะแยะอะไร
3. ดังนั้นจากรูปจะเห็นว่า จากรูปช่วงหลังจากที่ FED เริ่มหยุดทำ QE ตลาดก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก รวมถึงในช่วงที่ Tightening ก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกด้วย ยกเว้นที่ FED ประกาศว่าจะดึงเงินออกแบบรุนแรง นั่นส่งผลกระทบต่อตลาด จน Powell ต้องออกมากลับลำ ดังนั้นในปีนี้ ถึง FED จะบอกว่าจะดึงเงินออก แต่ถ้าเศรษฐกิจยังไม่ได้ร้อนแรงเกินไปนั้น แล้ว FED ไม่ได้มีการดึงเงินออกอย่างรุนแรง ตลาดก็ไม่น่า Panic จนเกินไป ดังนั้นการที่ตลาดปรับฐานลงมา จึงน่าจะยังมองเป็นโอกาสในการซื้อมากกว่า

4. ถ้าดูรูปที่สองจะเฆ็นว่า ความน่าจะเป็นของการเกิดวิกฤตในช่วง 12 เดือนข้างหน้า มีแค่ 10% เท่านั้น รวมถึง 2 ปีข้างหน้า 40% ดังนั้น เราจึงคาดการณ์ว่า วิกฤตในปีนี้ น่าจะยังไม่เกิด ดังนั้นถ้าดูจากข้อมูลทั้งหมด การปรับฐานในตลาดหุ้น เราจึงน่าจะมองเป็นโอกาสเหมือนกัน
จากข้อมูลทั้งหมด จึงน่าสนใจว่าปี 2022 เราน่าจะยังอยู่ในตลาดขาขึ้นอยู่สำหรับตลาดหุ้น และมองเป็นโอกาสในการซื้อในช่วงปรับฐาน
ที่มา JPM